เหตุการณ์อันตรายอาจจะเกิดกับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รถยนต์ ได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะมีการดูแลรักษาสภาพรถยนต์เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม เพราะเหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นมักจะไม่มีการบอกเตือนล่วงหน้าทุกครั้ง ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ตัวอย่าง 4 เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ใช้รถ และวิธีการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ตัวอย่างเหล่านี้ วันนี้ผมมี
รถยนต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคนปัจจุบันไปแล้ว เพราะนอกจากจะลดเวลาในการเดินทางแล้ว บางครั้งรถยนต์ก็เป็นปัจจัยที่ใช้ในการทำงานได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์เป็นสิ่งของที่มีราคาค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นการดูแลเอาใจใส่จึงเป็นสิ่งสำคัญ พฤติกรรมการขับขี่บางอย่างอาจจะทำให้รถเสียหายเร็วมากขึ้นกว่าปกติได้ เช่น
อย่างที่ทราบกันว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สาเหตุที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและเกิดจากปัจจัยภายใน โดยสาเหตุจากปัจจัยภายนอกยกตัวอย่างเช่น ฝนตกหนักถนนลื่นมาก รถคันอื่นเสียหลักหักเลี้ยวเข้ามาชน หรือแม้กระทั่งจากสัตว์
ในการขับขี่รถ ทัศนวิสัยหรือการมองเห็นในระหว่างการขับรถถือเป็นสิ่งสำคัญ การให้ความสำคัญและเพิ่มความระมัดระวังในจุดอับที่จะบดบังการมองเห็นสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ โดยจุดอับที่ควรระมัดระวังมีดังต่อไปนี้
ฎหมายเกี่ยวกับการเมาแล้วขับ ระบุไว้ชัดเจนในพระราชบัญญัติจราจรทางบอกอย่างเอาไว้ว่า ถ้าผู้ขับขี่มีระดับแอลกอฮอลล์ในกระแสเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ว่าเมา โดยไม่ได้วัดจากอาการหรือ ความทรหด ต่อการดื่มแต่อย่างใด ถ้าหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อจะทราบว่าระดับแอลกอฮอลล์ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อาจจะเทียบได้กับการดื่มเบียร์ 2 กระป๋องหรือ 1 ขวดเท่านั้น
ในช่วงฤดูฝนหรือบริเวณที่มีปัญหาน้ำท่วมบ่อยๆ เมื่อผู้ขับขี่ประเมินแล้วว่าจำเป็นต้องขับรถผ่านบริเวณนั้นไป นอกเหนือจากเทคนิคในการขับ เช่น การปิดเครื่องปรับอากาศรถหรือใช้เกียร์ต่ำแล้ว ผู้ขับขี่ควรประเมินระดับน้ำก่อนที่จะตัดสินใจขับผ่านไป
ในปัจจุบันจำนวนรถที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงคนขับรถที่มากและหลากหลายขึ้น อุบัติเหตุอันเกิดจากความไม่เข้าใจในกฎจราจรหรือเข้าใจผิด ก็สามารถนำไปสู่ความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิต การทำความเข้าใจในเรื่องทางเอกและทางโทนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งเช่นกัน เพราะความเข้าใจตรงจุดนี้สามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้มาก ทางเอกนั้นสามารถอธิบายให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทางหลัก ส่วนทางโทก็หมายถึงทางรองลงมาจากทางหลัก จากนี้จะใช้คำว่าทางหลักในความหมายของทางเอก และทางรองในความหมายของทางโท สามารถทำความเข้าใจได้ดังนี้
เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่าป้ายสัญลักษณ์ที่ติดตามท้องถนนนั้นหมายถึงอะไรกันบ้าง ถ้าเป็นป้ายที่เราเห็นกันจนชินตาก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร แต่ในบางพื้นที่นั้นก็มีสัญลักษณ์แปลกๆ ที่ไม่รู้ความหมายอยู่เหมือนกัน ในกรณีที่เราไม่รู้สิ่งที่ป้ายต้องการสื่อก็เลยไม่ได้ทำตามก็เป็นเรื่องหนึ่ง แล้วพวกป้ายที่เหลือที่เรารู้ความหมายกันดีอยู่แล้วหล่ะ เชื่อไหมว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทำตามอยู่ดี และไม่ใช่แค่เรื่องป้ายเท่านั้นนะ ยังรวมไปถึงกฎจราจรอื่นๆ ที่ถ้าสอบผ่านจนได้ใบขับขี่มาแล้วหล่ะก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้กฎเหล่านี้ แถมกฎพวกนี้ก็ยังมีมาตั้งนานนมแล้ว แต่พวกเราก็ยังละเมิดกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ลองดูสิว่าตัวเราเองนั้นละเมิดกฎอะไรกันบ้าง
การใช้รถใช้ถนนไม่ได้มีแค่เฉพาะคนขับรถเท่านั้น ยังรวมไปถึงคนเดินเท้าที่ร่วมทางด้วย จะเห็นว่าวิธีในการข้ามถนนของบ้านเรามีอยู่สองแบบ ก็คือ แบบที่เป็นสะพานลอยและแบบทางม้าลาย ตรงไหนที่เป็นสะพานลอยก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าห่วงนัก หากคนเดินเท้าใช้บริการสะพานลอยอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มาวิ่งข้ามตามเงาข้างใต้ของสะพานลอย ส่วนทางม้าลาย เอาเข้าจริงมันคือจุดที่เตือนให้ทั้งคนขับรถและคนเดินเท้าระมัดระวังซึ่งกันและกัน ไม่ได้เป็นทางที่สร้างไว้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
ทันทีที่ออกรถมาใหม่ นอกจากเรื่องของประกัน เรื่องของทะเบียนหรือชุดแต่งต่างๆ ก็มีเรื่องการติดฟิล์มนี่แหละที่ทำให้เกิดคำถามกับเจ้าของรถมือใหม่ทุกคน เพราะแต่ละศูนย์รถก็แนะนำไม่เคยเหมือนกันเลย บางที่ก็บอกให้ติดบางเพราะมองไม่เห็น แต่บางที่ก็บอกให้ติดหน้าจะได้ไม่ร้อน เป็นต้น พอติดตามคำแนะนำของศูนย์รถมาแล้ว ขณะใช้งานมันไม่ได้ตามความต้องการจริงๆ จะไปรื้อและติดใหม่ก็เสียดายทั้งเงินและเวลา งั้นถ้ารู้ตั้งแต่ต้นว่าควรจะติดฟิล์มแบบไหนให้เหมาะกับตัวเองและรถไม่กลายเป็นเตาอบ ก็น่าจะดีกว่านะ จริงไหม
