ทำไมต้องทำประกันชีวิต?

การทำประกันชีวิตดีอย่างไร และทำไมต้องทำประกันชีวิต คิดว่าหลาย ๆ คนคงจะเคยถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง และคิดวนเวียนอยู่ว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี แล้วถ้าทำจะเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี วันนี้ อีซี่ อินชัวร์ ขอพาทุกคนไปรู้จักประกันชีวิตและเห็นถึงประโยชน์ของประกันชีวิตกันให้มากขึ้น

ประกันชีวิตคืออะไร

สมาคมประกันชีวิตไทยได้สรุปคำจำกัดความว่า การประกันชีวิต คือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากความตาย ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 ประกอบกับมาตรา 889 อธิบายความหมายของการประกันชีวิตไว้ว่า หมายถึง “สัญญาซึ่งผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เมื่อมีเหตุในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญา กล่าวคือ เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตมรณะลงภายในเวลาตามที่ตกลงกันไว้ หรือเมื่อผู้นั้นยังทรงชีพอยู่จนถึงเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ และในการนี้ผู้เอาประกันชีวิตตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันชีวิต”

จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การประกันชีวิต (Life Insurance) หมายถึง การที่บุคคลผู้หนึ่งเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัย” ได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้กับบริษัทประกันชีวิต เพื่อซื้อความคุ้มครองการเสียชีวิต ครอบคลุมไปถึงการสูญเสียอวัยวะ การทุพพลภาพ การบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ภายในเวลาที่กำหนด หรือมีอายุยืนยาวจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “จำนวนเงินเอาประกันภัย” ให้แก่ “ผู้รับผลประโยชน์” หรือผู้เอาประกันภัยแล้วแต่กรณี ทั้งนี้เงื่อนไขความคุ้มครองจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อตามความเหมาะสมของผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก

ผู้เอาประกันภัย หมายถึง บุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันชีวิต โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต

ผู้รับผลประโยชน์ หมายถึง บุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต ว่าจะเป็นผู้ได้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้รับผลประโยชน์อาจเป็นบุคคลเดียวกับผู้เอาประกันภัยก็ได้

กรมธรรม์  หมายถึง ตราสารที่มีลายมือชื่อของผู้เอาประกันภัย ที่ระบุเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย พร้อมวงเงินที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

การทำประกันชีวิตหรือการซื้อประกันชีวิตจึงเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้เอาประกันภัยและครอบครัว หากเกิดการเสียชีวิตเจ็บป่วย หรือทุพพลภาพ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินตามที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของสัญญาประกันชีวิต เช่น หากมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือเสียชีวิตในระหว่างสัญญา หรือทั้ง 2 กรณีรวมกัน จะได้รับเงินตามเงื่อนไขของสัญญา ขึ้นอยู่กับแบบการประกันชีวิตที่ได้ทำประกันชีวิตไว้ ซึ่งเราจะเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรานั่นเอง

ประกันชีวิต

ความหมายของการประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทยได้สรุปคำจำกัดความว่า การประกันชีวิต คือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากความตาย ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 ประกอบกับมาตรา 889 อธิบายความหมายของการประกันชีวิตไว้ว่า หมายถึง “สัญญาซึ่งผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เมื่อมีเหตุในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญา กล่าวคือ เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตมรณะลงภายในเวลาตามที่ตกลงกันไว้ หรือเมื่อผู้นั้นยังทรงชีพอยู่จนถึงเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ และในการนี้ผู้เอาประกันชีวิตตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันชีวิต”

จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การประกันชีวิต (Life Insurance) หมายถึง การที่บุคคลผู้หนึ่งเรียกว่า “ผู้เอาประกันภัย” ได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้กับบริษัทประกันชีวิต เพื่อซื้อความคุ้มครองการเสียชีวิต ครอบคลุมไปถึงการสูญเสียอวัยวะ การทุพพลภาพ การบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ภายในเวลาที่กำหนด หรือมีอายุยืนยาวจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “จำนวนเงินเอาประกันภัย” ให้แก่ “ผู้รับผลประโยชน์” หรือผู้เอาประกันภัยแล้วแต่กรณี ทั้งนี้เงื่อนไขความคุ้มครองจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อตามความเหมาะสมของผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก

ผู้เอาประกันภัย คือ บุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันชีวิต โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต

ผู้รับผลประโยชน์ คือ บุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต ว่าจะเป็นผู้ได้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้รับผลประโยชน์อาจเป็นบุคคลเดียวกับผู้เอาประกันภัยก็ได้

การทำประกันชีวิตจึงเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้เอาประกันภัยและครอบครัว หากเกิดการเสียชีวิตเจ็บป่วย หรือทุพพลภาพ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินตามที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของสัญญาประกันชีวิต เช่น หากมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา หรือเสียชีวิตในระหว่างสัญญา หรือทั้ง 2 กรณีรวมกัน จะได้รับเงินตามเงื่อนไขของสัญญา ขึ้นอยู่กับแบบการประกันชีวิตที่ได้ทำประกันชีวิตไว้

ประกันชีวิตกับประกันสุขภาพ

ต่างกันอย่างไร?

ทุกท่านย่อมอยากมีสุขภาพที่ดี แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ทุกวันนี้ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความเครียด การพักผ่อนน้อย และอาหารจานด่วนที่รับประทาน นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บมากมาย แถมเข้าโรงพยาบาลรักษากันแต่ละครั้งค่ารักษาก็แพงแสนแพงแทบล้มละลาย จึงทำให้หลายคนหันมาสนใจทำประกันสุขภาพ เพื่อจะได้มีหลักประกันในการจ่ายค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ก็เกิดคำถามขึ้นว่าแล้วประกันชีวิตกับประกันสุขภาพต่างกันอย่างไร? ประกันชีวิตมีกี่แบบ? และเราจะเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี? วันนี้เรามีคำตอบดีๆ มาฝากกัน

การทำประกันชีวิต : เป็นประกันที่หลายคนคิดว่าทำไว้หากเสียชีวิตก็จะได้รับเงินค่าสินไหม ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแต่ยังไม่ครบถ้วนทั้งหมด ดังนั้น หากจะตอบให้ถูกต้องและครบถ้วน ประกันชีวิต คือ เป็นการทำประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองแก่ชีวิตของผู้ทำประกัน หากผู้ทำประกันเสียชีวิตบริษัทประกันก็จะจ่ายเงินตามมูลค่าความคุ้มครองที่ได้ทำไว้ให้กับผู้รับผลประโยชน์

นอกจากนี้ยังมีประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หากคุณมีชีวิตอยู่ถึงระยะเวลาที่กำหนดก็จะได้รับเงินคืนตามมูลค่าที่ทำไว้ในสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ หรือสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมเป็นสัญญาคุ้มครองสุขภาพ สัญญาคุ้มครองอุบัติเหตุ หรือสัญญาคุ้มครองโรคร้ายแรง ก็ได้

ประกันสุขภาพ : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองในเรื่องของสุขภาพเท่านั้น โดยจะคุ้มครองในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน ค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก ค่าผ่าตัด และค่าชดเชยในการนอนโรงพยาบาล

โดยการทำ ประกันสุขภาพ ต้องทำแบบปีต่อปี ไม่เหมือนประกันชีวิตที่เลือกทำยาวได้หลายปีตามต้องการ นอกจากนี้ผู้ทำประกันยังไม่สามารถซื้อความคุ้มครองด้านอื่นๆ เพิ่มได้ พูดง่ายๆ คือ คุ้มครองแค่ค่ารักษายามเจ็บป่วยเท่านั้นนั่นเอง

ประกันชีวิต กับ ประกันสุขภาพ

ต่างกันอย่างไร?

ทุกท่านย่อมอยากมีสุขภาพที่ดี แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ทุกวันนี้ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ความเครียด การพักผ่อนน้อย และอาหารจานด่วนที่รับประทาน นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บมากมาย แถมเข้าโรงพยาบาลรักษากันแต่ละครั้งค่ารักษาก็แพงแสนแพงแทบล้มละลาย จึงทำให้หลายคนหันมาสนใจทำประกันสุขภาพ เพื่อจะได้มีหลักประกันในการจ่ายค่ารักษายามเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ก็เกิดคำถามขึ้นว่าแล้วประกันสุขภาพกับประกันชีวิตเหมือนหรือต่างกันอย่างไร? วันนี้เรามีคำตอบดีๆ มาฝากกัน

ประกันชีวิต : เป็นประกันที่หลายคนคิดว่าทำไว้หากเสียชีวิตก็จะได้เงิน ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่หากจะตอบให้ครบถ้วนคือ เป็นการทำประกันที่ให้ความคุ้มครองแก่ชีวิตของผู้ทำประกัน หากเสียชีวิตบริษัทประกันก็จะจ่ายเงินตามมูลค่าความคุ้มครองที่ได้ทำไว้ให้กับผู้รับผลประโยชน์

นอกจากนี้ยังมีประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หากคุณมีชีวิตอยู่ถึงระยะเวลาที่กำหนดก็จะได้รับเงินคืนตามมูลค่าที่ทำไว้ในสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ หรือสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมเป็นสัญญาคุ้มครองสุขภาพ สัญญาคุ้มครองอุบัติเหตุ หรือสัญญาคุ้มครองโรคร้ายแรง ก็ได้

ประกันสุขภาพ : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองในเรื่องของสุขภาพเท่านั้น โดยจะคุ้มครองในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน ค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก ค่าผ่าตัด และค่าชดเชยในการนอนโรงพยาบาล

โดยการทำ ประกันสุขภาพ ต้องทำแบบปีต่อปี ไม่เหมือนประกันชีวิตที่เลือกทำยาวได้หลายปีตามต้องการ นอกจากนี้ผู้ทำประกันยังไม่สามารถซื้อความคุ้มครองด้านอื่นๆ เพิ่มได้ พูดง่ายๆ คือ คุ้มครองแค่ค่ารักษายามเจ็บป่วยเท่านั้นนั่นเอง

ประกันชีวิต VS ประกันสุขภาพ แบบไหนคุ้มกว่ากัน ?

การซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพนั้น อยู่ที่เราต้องการความคุ้มครองและหลักประกันความมั่นคงในเรื่องใดบ้าง เมื่อรู้แล้ว เราก็จะสามารถเลือกผลประโยชน์ได้ตามที่เราต้องการ

  • หากคุณอยากมีมรดกไว้ให้ลูกหลาน การทำประกันชีวิตจะเหมาะสมกว่า
  • หากคุณอยากออมเงินไว้ใช้ยามแก่ชราหรือหลังเกษียณอายุ ควรเลือกทำประกันชีวิตแล้วเลือกแบบมีเงินออม
  • หากคุณอยากมีมรดก และอยากให้คุ้มครองค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย ควรเลือกทำประกันชีวิตแล้วซื้อสัญญาคุ้มครองสุขภาพเพิ่ม
  • หากคุณไม่ได้สนใจเรื่องเงินออมหรือมรดกให้ลูกหลาน ต้องการแค่ความคุ้มครองเรื่องค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย คุณควรเลือกทำประกันสุขภาพ

ประกันชีวิต VS ประกันสุขภาพ แบบไหนคุ้มกว่ากัน ?

  • หากคุณอยากมีมรดกไว้ให้ลูกหลาน ควรเลือกทำประกันชีวิต
  • หากคุณอยากออมเงินไว้ใช้ยามแก่ชราหรือหลังเกษียณอายุ ควรเลือกทำประกันชีวิตแล้วเลือกแบบมีเงินออม
  • หากคุณอยากมีมรดก และอยากให้คุ้มครองค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย ควรเลือกทำประกันชีวิตแล้วซื้อสัญญาคุ้มครองสุขภาพเพิ่ม
  • หากคุณไม่ได้สนใจเรื่องเงินออมหรือมรดกให้ลูกหลาน ต้องการแค่ความคุ้มครองเรื่องค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย คุณควรเลือกทำประกันสุขภาพ
สนใจ

ประกันชีวิตผู้สูงอายุ ประกันสำคัญที่หลายคนชอบมองข้าม

การไม่มีโรคหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นโอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องอื่นเรามาทำความเข้าใจกับเรื่องของประกันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของคนเรากันก่อน ในปัจจุบันมีประกันหลากหลายรูปแบบทั้งที่เน้นให้ความคุ้มครองจ่ายเฉพาะในกรณีที่เสียชีวิต แบบสะสมทรัพย์หรือบางครั้งก็เป็นแบบควบการลงทุนที่ได้ทั้งในเรื่องความคุ้มครองและเหมือนซื้อหุ้นคู่ไปด้วย ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ถ้าหากอยากได้ความคุ้มครองหรือเงินชดเชยเวลาที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็จะต้องซื้อประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าประกันชีวิตผู้สูงอายุจึงเป็นประกันชีวิตที่ถูกออกแบบมาเพื่อกลุ่มคนที่มีอายุมากที่มีแนวโน้มที่จะมีโรคประจำตัวมากกว่ากลุ่มอื่น

ลักษณะสำคัญของประกันชีวิตผู้สูงอายุมีดังนี้

ผู้ที่เอาประกันจะต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ทั้งนี้แต่ละบริษัทประกันภัย อาจจะมีการกำหนดในเรื่องของช่วงอายุและเงื่อนไขการรับประกันที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดอายุสูงสุดของผู้เอาประกันไว้ไม่เกิน 70-75 ปี

ส่วนใหญ่ประกันผู้สูงอายุจะให้ความคุ้มครองในเรื่องของกรณีเสียชีวิตเป็นหลัก แต่ก็มีบางแบบประกันชีวิตที่สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ ยกตัวอย่างเช่น สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือ สัญญาเพิ่มเติมในเรื่องของสุขภาพ ในกรณีที่กรณีเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพ หรือโรคร้ายแรง ซึ่งอาจจะอาจเป็นในลักษณะของการจ่ายค่าชดเชยรายวันกรณีที่มีการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แล้วแต่กรณีตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เราซื้อเอาไว้

เราสามารถที่จะเลือกซื้อกรมธรรม์ได้ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาการรับประกันชีวิตของบริษัทแล้วแต่กรณี อย่างเช่น ต้องตรวจสุขภาพ หรือ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ หรือต้องตอบคำถามสุขภาพ หรือ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เป็นต้น

ประกันชีวิตแบบที่ไม่ตรวจสุขภาพ ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงื่อนไขว่าหากเสียชีวิตภายในช่วงของ 2 ปีแรกของการทำประกันชีวิต บริษัทจะจ่ายเงินให้เท่ากับเบี้ยประกันภัยที่รับมาแล้ว บวกกับผลตอบแทนให้ในอัตรา 2-5% เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นโรคใดๆ มาก่อนที่จะมาทำประกันชีวิต และหากในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในปีที่ 3 เป็นต้นไป ก็จะได้รับเงินเต็มตามที่ได้มีการระบุเอาไว้ในสัญญา

ข้อควรรู้เกี่ยวกับประกันภัยแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพ

หลาย ๆ คนคงเคยจะได้ยินเกี่ยวกับประกันภัยแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพมาบ้าง วันนี้เรามีเกร็ดความรู้ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันแบบนี้มาฝากเช่นกัน

เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อประกันภัยแบบที่ไม่ต้องตรวจสุภาพ สิ่งแรกที่จะต้องดู คือ เรื่องของข้อมูลรอบด้าน เช่น รายละเอียดความคุ้มครองของกรมธรรม์ ครอบคลุมอะไรบ้าง ซึ่งเราเองจะต้องถามข้อมูลให้ครบทั้งเบี้ยประกัน ระยะเวลา การตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นข้อมูลตัดสินใจ ก่อนที่จะทำการตกลงเซ็นสัญญา จากนั้นก็ให้ทำการเก็บหลักฐานการเสนอขาย เอกสารต่างๆ ทั้งที่เป็นใบเสนอราคา โบรชัวร์ ที่มีรายละเอียดความคุ้มครอง ก่อนพิจารณา

ในกรณีทำประกันทางโทรศัพท์ก็ให้บันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีได้ในภายหลังหากมีปัญหา

สุดท้ายคือ จะต้องทำการตรวจสอบกรมธรรม์ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ได้รับกรมธรรม์ให้ตรวจสอบความถูกต้องทั้งชื่อ ข้อมูลการทำประกัน รายละเอียดความคุ้มครอง โดยหากในกรมธรรม์ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันเอาไว้ก็สามารถที่จะทำหนังสือบอกเลิกสัญญาภายใน 30 วัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามควรจะตรวจสอบและสอบถามให้ดีเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะต้องสูญเงินเปล่าในการทำประกันภัยได้

ซื้อประกันภัยกับอีซี่ อินชัวร์ ดีอย่างไร?

อีซี่ อินชัวร์ เราให้คุณได้คุ้มกว่าด้วยบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่ครอบคลุมทุกความต้องการของคนใช้รถ ไม่ว่าจะเป็น 

  • การให้บริการที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับลูกค้า ให้คำปรึกษาชัดเจน ไม่ต้องกลัวโดนเอาเปรียบ
  • บริการหลังการขาย 24 ชม. ไม่มีวันหยุด 
  • คุ้มครองง่าย ผ่อนสบาย 

อีซี่ อินชัวร์ เราพร้อมดูแลด้วยใจ ประกันภัยง่ายนิดเดียว สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ โทร. 0 2801 9000 โทรฟรี โทรเลย

ประกันชีวิตผู้สูงอายุ สำคัญมาก ๆ หลาย ๆ คนชอบมองข้าม

การไม่มีโรคหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ดีอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นโอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องอื่นเรามาทำความเข้าใจกับเรื่องของประกันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของคนเรากันก่อน ซึ่งต้องอบอกว่าในปัจจุบันมีประกันหลากหลายรูปแบบทั้งที่เน้นให้ความคุ้มครอง จ่ายเฉพาะในกรณีที่เสียชีวิต แบบสะสมทรัพย์หรือบางครั้งก็เป็นแบบควบการลงทุนที่ได้ทั้งในเรื่องความคุ้มครองและเหมือนซื้อหุ้นคู่ไปด้วยมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น

แต่ถ้าหากอยากได้ความคุ้มครองหรือเงินชดเชยเวลาที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุก็จะมี ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าประกันชีวิตผู้สูงอายุจึงเป็นประกันประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่มักจะถูกออกแบบมาเพื่อกลุ่มคนที่มีอายุมากที่มีแนวโน้มที่จะมีโรคประจำตัว มากกว่ากลุ่มอื่น

โดยมีลักษณะสำคัญของประกันชีวิตผู้สูงอายุมีดังนี้

ผู้ที่เอาประกันจะต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ทั้งนี้แต่ละบริษัทประกันภัย อาจจะมีการกำหนดในเรื่องของช่วงอายุและเงื่อนไขการรับประกันที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดอายุสูงสุดของผู้เอาประกันไว้ไม่เกิน 70-75 ปี

ส่วนใหญ่ประกันผู้สูงอายุจะให้ความคุ้มครองในเรื่องของกรณีเสียชีวิตเป็นหลัก แต่ก็มีบางแบบประกันชีวิตที่สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ ยกตัวอย่างเช่น สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือ สัญญาเพิ่มเติมในเรื่องของสุขภาพ ในกรณีที่กรณีเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพ หรือโรคร้ายแรง ซึ่งอาจจะอาจเป็นในลักษณะของการจ่ายค่าชดเชยรายวันกรณีที่มีการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แล้วแต่กรณีตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เราซื้อเอาไว้

เราสามารถที่จะเลือกซื้อกรมธรรม์ได้ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาการรับประกันชีวิตของบริษัทแล้วแต่กรณี อย่างเช่น ต้องตรวจสุขภาพ หรือ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ หรือต้องตอบคำถามสุขภาพ หรือ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เป็นต้น
ประกันชีวิตแบบที่ไม่ตรวจสุขภาพ ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงื่อนไขว่าหากเสียชีวิตภายในช่วงของ 2 ปีแรกของการทำประกันชีวิต บริษัทจะจ่ายเงินให้เท่ากับเบี้ยประกันภัยที่รับมาแล้ว บวกกับผลตอบแทนให้ในอัตรา 2-5% เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นโรคใดๆ มาก่อนที่จะมาทำประกันชีวิต และหากในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในปีที่ 3 เป็นต้นไป ก็จะได้รับเงินเต็มตามที่ได้มีการระบุเอาไว้ในสัญญา

นอกจากนี้แล้วหลาย ๆ คนคงเคยจะได้ยินเกี่ยวกับประกันภัยแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพมาบ้าง วันนี้เรามีเกร็ดความรู้ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันแบบนี้มาฝากเช่นกัน โดยเมื่อตัดสินใจที่จะซื้อประกันภัยแบบที่ไม่ต้องตรวจสุภาพ สิ่งแรกที่จะต้องดู คือ เรื่องของข้อมูลรอบด้าน เช่น รายละเอียดความคุ้มครองของกรมธรรม์ ครอบคลุมอะไรบ้าง ซึ่งเราเองจะต้องถามข้อมูลให้ครบทั้งเบี้ยประกัน ระยะเวลา การตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นข้อมูลตัดสินใจ ก่อนที่จะทำการตกลงเซ็นสัญญา จากนั้นก็ให้ทำการเก็บหลักฐานการเสนอขาย เอกสารต่างๆ ทั้งที่เป็นใบเสนอราคา โบรชัวร์ ที่มีรายละเอียดความคุ้มครอง ก่อนพิจารณา

หรือ ในกรณีทำประกันทางโทรศัพท์ก็ให้บันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีได้ในภายหลังหากมีปัญหา และสุดท้ายคือ จะต้องทำการตรวจสอบกรมธรรม์ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ได้รับกรมธรรม์ให้ตรวจสอบความถูกต้องทั้งชื่อ ข้อมูลการทำประกัน รายละเอียดความคุ้มครอง โดยหากในกรมธรรม์ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันเอาไว้ก็สามารถที่จะทำหนังสือบอกเลิกสัญญาภายใน 30 วัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามควรจะตรวจสอบและสอบถามให้ดีเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะต้องสูญเงินเปล่าในการทำประกันภัยได้

บทความที่น่าสนใจ