โรคงูสวัด

โรคงูสวัด เกิดจากอะไร อาการของโรค พร้อมขั้นตอนวิธีการรักษาและดูแลที่ถูกต้อง

โรคงูสวัดคือโรคอะไร

โรคงูสวัด คือโรคที่ติดเชื้อไวรัส ที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใส หากเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อก็จะทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส และเชื้อดังกล่าวจะหลบอยู่บริเวณปมประสาทของร่างกาย และเข้าโจมตีร่างกายอ่อนแอจนเกิดเป็นงูสวัด ถึงจะยังไม่เป็นโรคที่ถูกพูดถึงมากนักในบ้านเรา แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเฝ้าระวังและหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้

  • โรคงูสวัด เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ รวมถึงผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • โรคงูสวัดสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการรักษาทัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
  • โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับไวรัสที่ก่อให้เกิดอีสุกอีใส พบมากในผู้ใหญ่ และมักเกิดบริเวณผิวหนังตามร่างกาย และ มีอาการออกมาในลักษณะของผื่นหรือตุ่ม จะขึ้นบริเวณแนวบั้นเอวแนวชายโครง ใบหน้า แขน ขา โดยมีลักษณะการขึ้นที่คล้ายกัน คือ ขึ้นเพียงซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายเท่านั้น
  • โรคงูสวัด ไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ บางคนหลังจากแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดตามเส้นประสาทนาน หรือ เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
โรคงูสวัด
รูปภาพ โรคงูสวัด ขึ้นที่หลัง

โรคงูสวัดเกิดจากสาเหตุใด

โรคงูสวัดมีสาเหตุมาจาก การติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ Varicella Zoster Virus เป็นเชื้อชนิดเดียวกับเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่โรคงูสวัดจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนเท่านั้น โดยเมื่อเชื้อดังกล่าวอยู่ในร่างกายจนเป็นโรคอีสุกอีใส ก็จะไปหลบตามปมประสาท และกลายเป็นงูสวัดในภายหลัง ขณะที่กลุ่มเสี่ยงโรคงูสวัด จะเป็นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีปัญหาด้านระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ผู้ที่ใช้การรักษาด้วยยาบางชนิด เช่นสเตียรอยด์ ผู้ที่รักษาโรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งสมองด้วยรังสีวิทยา เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าคนปกติ

 

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด

  • เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
  • อายุมาก
  • มีความเครียดทางอารมณ์
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ได้รับอุบัติเหตุ
โรคงูสวัด
รูปภาพ โรคงูสวัด ขึ้นที่แนวชายโครง

อาการของโรคงูสวัด

  1. มีอาการปวดตามตัว ก่อนมีผื่น 2-3 วัน
  2. มีอาการทางผิวหนัง คันตามผิวหนัง มีผื่นแดง เริ่มเป็นตุ่มน้ำใส เรียงตัวกันเป็นกลุ่มแนวยาวตามแนวเส้นประสาทของร่างกาย กระจายตัวกันเป็นหย่อม ๆ  ตาม แขน ขา รอบเอว รอบหลัง บางคนมีอาการปวดแสบปวดร้อน ปวดตามแนวเส้นประสาท เพราะช่วงนี้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างง่ายดาย
  3. มักจะไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั้นตัว ปวดศีรษะ
  4. รู้สึกเสียวที่ผิวหนัง สำหรับคนที่เป็นบริเวณใบหน้าจะมีอาการปวดศีรษะ
  5. เมื่อผ่านไป 1-5 วัน จะมีผื่นแดงอยู่เป็นกลุ่ม และเป็นตุ่มน้ำใส โดยจะขึ้นอยู่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายตามเส้นประสาทที่เป็น ตุ่มน้ำใสจะอยู่ประมาณ 5 วัน และต่อมาผื่นจะตกสะเก็ดและหายไปใน 2-3 สัปดาห์

 

การวินิจฉัยโรคงูสวัด

ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการตนเองในระยะแรกเริ่มมีผื่นขึ้น โดยจะเกิดกับผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุอีใสมาแล้วเท่านั้น โดยหากมีผื่นขึ้นอย่างผิดปกติที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายร่วมกับอาการปวดแสบร้อนบริเวณผื่นที่ขึ้น อาจมีอาการคัน มีไข้ร่วม ก็สันนิษฐานได้เบื้องต้นว่าอาจเป็นโรคงูสวัด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอีกครั้ง โดยแพทย์จะทำการซักถามประวัติว่าเคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสหรือไม่ พร้อมกับทำการตรวจดูว่ามีผื่น หรือตุ่มน้ำที่เกิดบริเวณใดของร่างกาย แพทย์อาจมีการสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยนำเนื้อเยื่อหรือน้ำของเหลวในตุ่มน้ำไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อวินิจฉัยต่อไป

 

โรคงูสวัดติดต่อกันได้หรือไม่

โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอยู่แล้วในร่างกาย แต่สามารถส่งต่อเชื้อไวรัส VZV ไปสู่คนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีสุกอีใสได้ เช่นคนที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน โดยการติดต่อผ่านการสัมผัสผื่น แผล ที่มีตุ่มพุพองของโรค และหลังจากได้รับเชื้อมาก็จะเกิดเป็นโรคอีสุกอีใสก่อน ยังไม่เกิดเป็นโรคงูสวัดทันทีหลังได้รับเชื้อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัส ได้แก่ ปกปิดรอยผื่น, หลีกเหลี่ยงการสัมผัสหรือเกาผื่น และ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ

 

วิธีการรักษาโรคงูสวัด

แพทย์จะรักษาตามอาการและใช้ยาต้านไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม หรือเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ผู้ที่มีอาการปวด แพทย์จะจ่ายยาแก้ปวด ยากลุ่มลดอาการอักเสบ และยาทาบางชนิดที่ช่วยลดอาการผื่นคันร่วม กรณีที่พบว่าแผลหายแล้วแต่ยังคงมีอาการปวดอยู่ จะต้องทำการรักษาอาการปวดของปมประสาท โดยแพทย์เกี่ยวกับระบบประสาทเท่านั้น

ผู้ป่วยที่มีอาการโรคงูสวัดขึ้นตา ควรรักษากับจักษุแพทย์โดยตรง แพทย์จะใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทานและ หยอดตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา การรักษาโรคงูสวัด อาจมีระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับประทานยาและใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากทำได้จะทำให้อาการโรคงูสวัดเป็นปกติอย่างแน่นอน

 

การรักษาโรคงูสวัดด้วยตนเอง

ในการรักษาโรคงูสวัดด้วยตนเอง ให้อาบน้ำเย็นร่วมกับใช้ครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต หรือ ทาโลชั่นคาลาไมน์ หรือใช้ปิโตรเลียมเจลลี่ ประคบเย็นที่ตุ่มน้ำงูสวัด ทั้งหมดจะช่วยลดอาการคันและอาการปวดได้ และยังมียาแผนปัจจุบันที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาเช่น

  1. ครีมที่มีส่วนผสมของสารแคปไซซิน Capsaicin หรือ เมนทอล Menthol
  2. ยากลุ่ม Antihistamine ยาแก้แพ้ เช่น ไดเฟนไฮตรามีน Diphenhydramine, คลอเฟนนิรามีน Chlorpheniramine
  3. ครีมไฮโดรคอร์ติโซน Hydrocortisone cream
  4. ยากลุ่ม NSAIDs ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ เช่น ยาแอสไพริน Aspirin หรือ ยาไอบูโพรเฟน Ibuprofen, ยานาพร็อกเซน Naproxen

 

การป้องกันโรคงูสวัด

คือการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ แต่ก็ไม่ได้มีข้อห้ามรับประทานอาหารชนิดใดเป็นพิเศษ พักผ่อนให้เพียงพอ แต่หากพบว่าตนเองมีอาการอีสุกอีใส ควรอยู่ให้ห่างเพื่อป้องกันการติดเชื้อให้มากที่สุด ถือเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเกิดการแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายจนไปกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคงูสวัด รวมถึงการป้องกันโดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสตั้งแต่ก่อนเป็น
  2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่น และตุ่มโรคของผู้ป่วยงูสวัด
  4. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่

วิธีป้องกันตัวเองเมื่อเป็นโรคงูสวัด

  • ใช้น้ำเกลือประคบแผลนานครั้งละประมาณ 10 นาที โดยประคบวันละ 3-4 ครั้ง
  • หากเกิดอาการคัน ให้ทายาคาลามายด์เพื่อบรรเทาอาการ แต่หากคันมากอาจรับจะต้องทานยาแก้คันร่วมด้วย
  • ไม่ควรใช้ยาพ่นหรือใช้ยาสมุนไพรทาลงไปบนจุดที่มีแผลโดยตรง เพราะอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจนส่งผลให้แผลหายช้า
  • หากผู้ป่วยมีอาการปากเปื่อยลิ้นเปื่อย แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือจะช่วยให้อาการดีขึ้น
  • ควรอาบน้ำด้วยการฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแบบซ้ำซ้อน และเลือกใส่เสื้อผ้าแบบหลวม ๆ
  • ไม่ควรแกะหรือเกาแผล บริเวณที่เป็นงูสวัดอย่างเด็ดขาด

 

แม้ว่าโรคงูสวัดอาจจะดูไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก แต่ต้องยอมรับว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดไม่น้อยเลยที่เสียชีวิต เนื่องจากไม่เข้ารักการรักษาอย่างถูกต้อง จนก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือลุกลามจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นผู้ป่วยโรคงูสวัดจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาจะสูงก็ตาม

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการรักษา โรคงูสวัด แต่ติดเรื่องงบประมาณมีไม่เพียงพอ การทำประกันสุขภาพคือตัวช่วยที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ด้วย และหากท่านใดสนใจทำประกันสุขภาพ สามารถติดต่อ อีซี่อินชัวร์โบรกเกอร์ ที่เป็นโบรกเกอร์ชั้นนำในเรื่องของการทำประกันสุขภาพ มีเจ้าหน้าที่บริการที่เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำด้านการทำประกันสุขภาพ เพื่อให้ท่านได้รับความคุ้มครองสูงสุด และหากท่านใดสนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดได้ที่ www.easyinsure.co.th ตลอด 24 ชั่วโมง

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : www.saintlouis.or.th , www.bangkokhospital.com, www.honestdocs.co.th

Loading

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *